เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๖ มิ.ย. ๒๕๕๒

 

เทศน์เช้า วันที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๕๒
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เวลาโยมเขาถามนะ บอกว่าเวลาทำบุญกับพระอริยเจ้าจะได้บุญมหาศาลเลย แล้วทำไมชาวพุทธเราทำบุญกันมหาศาลเลย ทำไมเราทุกข์เรายากกัน? ทำไมเราไม่ประสบความสำเร็จ? มันเป็นความเข้าใจผิดนะ ความเข้าใจผิดของเราว่าบุญของเรา เห็นไหม เราคิดว่าบุญของเราคือปัจจัยเครื่องอาศัยต้องอุดมสมบูรณ์ แต่บุญนะ บุญในพุทธศาสนาคือหัวใจร่มเย็นเป็นสุข

บุญขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดไว้ในพระไตรปิฎกนะ ในครอบครัวของเรายิ้มแย้มแจ่มใส มีความรื่นเริง มีความสุขในครอบครัวของเรานี่คือบุญ แล้วถ้าบุญอย่างนี้เกิดขึ้นมาแล้ว สิ่งที่เป็นปัจจัยเครื่องอาศัยมันตามมา อย่างนั้นมันจะเป็นประโยชน์ของเรา แต่ปัจจัยเครื่องอาศัยมหาศาลในบ้านเลย แต่ในบ้านของเรามีแต่ความขัดแย้ง นี่มันมีแต่ความทุกข์นะ มันเป็นบุญไหมล่ะ?

เราไปมองกันว่าบุญนี้ต้องประสบความสำเร็จทางโลกใช่ไหม? บุญคือความสำเร็จทางหัวใจ แล้วทางโลก ดูสิทุคตะเข็ญใจเวลาบวชแล้วก็เป็นพระอรหันต์ เศรษฐี กุฎุมพีขนาดไหน บวชแล้วถ้าปฏิบัติก็ถึงเป็นพระอรหันต์ พระอรหันต์คือหัวใจที่สิ้นกิเลสเท่านั้น แต่มาหลากหลายมากในการประพฤติปฏิบัติ

ในสังคมเราก็เหมือนกัน ในสังคมนะถ้าทำบุญกุศลแล้วต้องเจอแต่สิ่งที่ดีๆ สิ ตำแหน่งหน้าที่การงานของเรา ในสังคมของเรา เห็นไหม สิ่งที่เป็นอยู่นี่ดีก็มี เลวก็มีปนกัน สิ่งใดจะดีทั้งหมดมันเป็นไปไม่ได้ สิ่งใดจะเลวไปทั้งหมดมันเป็นไปไม่ได้ เพราะความดีนี่ความดีของใคร? เราตั้งใจทำความดีกับเขานะ เราทำกับเพื่อนฝูงเราตลอดเลย เพื่อนฝูงไม่เห็นความดีของเราเลย แล้วก็ยังติเตียนว่าเราทำร้ายเขา เราทำร้ายเขา เพราะเป็นดุลพินิจของเขา ทั้งๆ ที่เราตั้งใจปรารถนาดีกับเขานะ ทำไมเป็นอย่างนั้นล่ะ?

มันเป็นอย่างนั้นเพราะมุมมอง เพราะพันธุกรรมทางจิต จิตของคนมันหลากหลาย เราตั้งใจพูดดีกับเขาทั้งนั้นแหละ เราปรารถนาดีกับเขา แต่เขาเข้าใจว่าเรามุ่งร้ายกับเขานะ เพราะเขาไม่ได้ดั่งใจของเขา แล้วดั่งใจของเขา เขาก็คุมใจของเขาไม่ได้ เขาคุมใจของเขาไม่ได้ เพราะเขาปรารถนาของเขาจนเกินขอบเขตไง

แต่ถ้าเป็นสัจจะความจริง เป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม นี่เรามาเสียสละกัน เราทำบุญกุศลกัน ทำบุญกุศลเพื่อให้หัวใจเราเปิด เปิดตรงไหน? เปิดตรงที่ได้ฟังธรรมนี่ไง ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เปิดให้ฟังธรรม ถ้าหัวใจของเราได้ฟังธรรม เราเข้าใจถึงธรรมะ เข้าใจถึงสัจจะความจริงของโลก

“สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นต้องดับเป็นธรรมดา”

สิ่งที่เกิดขึ้น เห็นไหม ดูสิคลื่นลูกใหม่ซัดคลื่นลูกเก่าเข้าสู่ฝั่งตลอดเวลา นี่ใจของคน ประสบการณ์ของจิต ประสบการณ์ต่างๆ หลากหลายมาก ความหลากหลายของจิตตั้งแต่เด็กขึ้นมาจนเป็นวัยรุ่น จนเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมา มีปัญหาในครอบครัวของเรา ถ้าระหว่างพ่อแม่กับลูกจะมีปัญหากันมาก เพราะมันต่างกันโดยวัย

วัยนี่พ่อแม่ผ่านวัยนั้นมา ผ่านวัยรุ่นมา แต่เด็กๆ เกิดขึ้นมานี่เขาว่าเขามีปัญญามาก แล้วจะว่าพ่อแม่ด้วยว่าเป็นเต่าล้านปีทั้งนั้นเลย นี่บอกว่าเป็นเต่าล้านปี มีความเชื่องช้า ความตัดสินใจไม่รวดเร็วเหมือนเรา แต่ไอ้การตัดสินใจด้วยความรวดเร็วนะ ถ้าเขามีบุญกุศลของเขา

คำว่าบุญกุศลของเขานะ จังหวะและโอกาสต่างๆ มันสมดุลกันมันก็ประสบความสำเร็จ แต่ถ้าการตัดสินใจของเขา นี่กาลเวลา ถ้าสิ่งแวดล้อมต่างๆ มันไม่เป็นดั่งใจ มันไม่สมดุล การตัดสินใจอันนั้นก็ผิดพลาด ความผิดพลาดก็จะเป็นประสบการณ์ของเขา ต้องให้เขาได้ประสบการณ์ของเขา ถ้าเขาได้ประสบการณ์ของเขา นั้นคือมันจะสอนจิตเขา จิตเขาจะพัฒนาขึ้นมาได้

เหมือนเราปฏิบัติ เราปฏิบัติของเราขึ้นมา การประพฤติปฏิบัติของเรามันจะสอนเราตลอดเวลา มันเป็นการสอน มันเป็นการฝึกฝนเราขึ้นมา เห็นไหม ฝึกฝนทัศนคติของจิตมันจะเปลี่ยนแปลงไปตลอด เปลี่ยนแปลงเพราะเราไปรู้ไปเห็น แต่เวลาคนสอน ครูบาอาจารย์สอนเรานะ เราก็บอกว่ามันจะเป็นไปได้อย่างไร? มันจะเป็นไปได้อย่างไร? เพราะเรารู้เราเห็นของเรา เห็นไหม เวลาเราสวดมนต์ เราทำวัตรของเรา กาเยนะ วาจายะ การกล่าวผิดไปด้วยใจ เราไม่เป็นไปตามธรรม ความเห็นขัดแย้งของใจนะ

นี่พูดถึงสังคม สังคมจากภายนอก เวลาเราอยู่กับสังคมเราต้องกลับมาที่เรา มันเป็นเวรเป็นกรรมนะ ทุกคนต้องการหมู่คณะที่ดี ทุกคนต้องการสังคมที่ดี แต่สังคมที่ดี เขาก็ว่าดีของเขา ดีของทุกๆ คน แต่ทุกๆ คนก็มีความขัดแย้ง มีมุมมองแตกต่างกันทุกๆ คน ทุกๆ คนมันก็มีปัญหากันในสังคม เห็นไหม นี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้กลับมาดูใจของเราไง

ในศาสนาของเรานะ การชนะศึกหมื่นแสนคูณด้วยล้าน สร้างเวรสร้างกรรม การชนะเรา แล้วชนะเรา เราชนะได้อย่างไร? ไม่มีสิ่งใดชนะเราได้เลย ถ้าไม่ใช่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่ธรรมของกิเลสนะ

ในปัจจุบันนี้ทุกคนปฏิบัติธรรม ทุกคนมีความหน้าชื่นตาบานทั้งนั้นแหละ แต่มันเป็นทิฐิของตัวไง มิจฉาทิฏฐิ ถ้ามีสัมมาทิฏฐิขึ้นมาแล้ว เห็นไหม ดูสิอากาศนี่ สิ่งของต่างๆ เราเดินไป เราจะเดินผ่านอากาศไปได้ตลอดเวลา อากาศมันว่าง อากาศมันไม่มีสิ่งใดโต้แย้งเรา เราเดินไปชนภูเขาสิ เราเดินไปชนต้นไม้สิ ต้นไม้เราเข้าไปชนเราต้องปะทะแน่นอน นี่ฟังธรรมๆ ถ้ามันย้อนกลับมาที่จิตของเรา เห็นไหม ทำให้จิตของเราเป็นสัจจะความจริงไง

สัจจะความจริง ทิฐิมานะ ความเห็นผิด.. ความเห็นผิด ผิดไปจากไหน? ผิดเพราะเกิดตัวตน เกิดเราขึ้นมา นี่มุมมองของเรา เห็นไหม ความคิดไม่ใช่จิต ถ้าความคิดไม่ใช่จิต ความคิดเกิดขึ้นมา ความคิดเกิดทิฐิมานะขึ้นมา เกิดทิฐิมานะนั่นล่ะกำแพงแล้ว นี่มันสร้างขึ้นมา กิเลสมันสร้างกำแพงขึ้นมาในหัวใจ หัวใจโดนกิเลสมันสร้างกำแพงไว้ แล้วเราทะลุกำแพงนี้ออกมาไม่ได้ไง เราทะลุความคิดเราไปไม่ได้

เราเกิดทิฐิมานะ เกิดความเห็นว่าอันนี้เป็นความดีของเรา เรายึด พอเราติดกำแพงความคิดของเราเอง ทุกคนติดกำแพงความคิดของตัว แล้วเกิดทิฐิมานะยึดความคิดของตัว แล้วเอาความคิดนั้นปะทะกันด้วยความคิด ความคิดนี่ ความมุมมอง ทิฐิ นี่มิจฉาทิฏฐิ แต่ถ้าเราทำให้เราว่าง เราไม่มีกำแพงของเรา ความคิดของเรา เราไม่ปะทะกับความคิดของเรา เราไม่มีทิฐิมานะสิ่งใด

สิ่งต่างๆ มันเกิดขึ้น ดูสิเราดูเด็กสิ นี่มันไร้เดียงสามันก็น่ารัก อย่างหน้าที่การงานของเรา ถ้าเขาทำผิดโดยเขาไม่รู้ของเขา เขาไม่รู้นะ ถ้าเขาไม่รู้ ผิดโดยที่เขาไม่ได้มีเจตนา เขาไม่รู้ อันนั้นเราควรให้อภัยเขา แต่ให้อภัยเขานี่เราก็ต้องฝึกเขา ต้องบอกให้เขาเข้าใจด้วย แล้วทีหลังอย่าผิดอีกนะ แต่ถ้าคนผิดซ้ำผิดซาก มันผิดโดยพลั้งเผลอ โดยจริตนิสัย โดยที่ว่าตั้งใจทำผิด

นี่ความผิดของคนมันมีมหาศาลเลย เราอยู่ในหมู่คณะกันเราต้องสังเกตเอา สังเกตว่ามันเป็นอย่างนั้นจริงไหม? เราอยู่กับครูบาอาจารย์มานะ ถ้าอยู่ด้วยกัน ศึกษาด้วยกัน ถ้าผิดพลาดนี่ขาดสติ แม้แต่ผิดเล็กน้อย ท่านบอกว่าอย่างนี้มันมีผลกับความรู้ที่ละเอียดขึ้นไป มันมีผลกับจิตที่มันพัฒนาการของมัน ถ้าจิตมันไม่พัฒนาการของมัน มันจะละเอียดขึ้นไปไม่ได้ มันจะพัฒนาการของมันขึ้นไปเพื่อประโยชน์กับจิตดวงนั้นเอง จิตดวงนั้นเอง แล้วครูบาอาจารย์ท่านเห็นอย่างนั้น ท่านจะคอยบอกคอยเตือนขึ้นมา

นี่ความผิดเล็กน้อยของผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ คำว่าเล็กน้อยของผู้หยาบ แต่มันเป็นของหยาบของผู้ที่ละเอียดกว่า พอมันละเอียดกว่าเราต้องพัฒนาขึ้นไป ถ้าพัฒนาขึ้นไปนี่ความผิดเราจะน้อยลง ความผิดน้อยลงคือสติมันดีขึ้น สติดีขึ้น ปัญญาดีขึ้น เห็นไหม มันจะกลับมาทำลายสิ่งที่ว่ามันจะปะทะกำแพงไง กำแพงเป็นความคิดนะ แต่ตัวจิต ตัวอวิชชามันมีอวิชชา มันมีทิฐิมานะอีกชั้นหนึ่งนะ

เรามองในสิ่งแวดล้อม มองในหมู่คณะ มองในที่ทำงานของเราว่าจะต้องสมกับความคิด ต้องถูกไปทั้งหมด แต่ในหัวใจของเรา กิเลสของเรา ความคิดของเรานี่มันโต้แย้งกัน มันขัดแย้งกันอยู่ในหัวใจของเรา อันนี้ เห็นไหม นี่ถ้าชนะตนเองได้ ถ้าชนะตรงนี้ได้ เราจะมองโลก.. ดูสิเขาบอกว่าเวลาพระอริยเจ้าอยู่กับโลกโดยไม่ติดโลก ไม่ติดโลกเพราะเราเข้าใจเรา

“อย่าดูถูกความนิ่งอยู่ของพระอริยเจ้า”

เพราะพระอริยเจ้ารู้ว่าความคิดของเรามันเกิดขึ้นมาแล้ว นี่ระหว่างพลังงานกับกำแพงความคิดนั้นมันสัมพันธ์กันแล้ว แล้วควรจะแสดงออกไปข้างนอกไหม?

มโนกรรม กายกรรม วจีกรรม.. สิ่งที่แสดงออกนี้มโนกรรมเกิด กรรมมันเกิดกับเรา พระเราไม่มีอาบัติทางความคิด แต่มีอาบัติทางการกระทำนะ ไม่มีอาบัติทางความคิด แต่เวลาเป็นธรรมขึ้นมา เห็นไหม นิวรณธรรมกั้นจิต มันเป็นการนิวรณ์ เป็นความวิตกกังวลเป็นอะไร นี่มโนกรรม มันเป็นความวิตกกังวล มันเป็นความคิดในหัวใจ มันเกิดการกระทำขึ้นมาในหัวใจแล้ว แต่มันไม่เป็นอาบัติเพราะไม่มีการแสดงออกไปข้างนอก ดูสิเวลาเราพูดปดนี่ผิด เพราะเป็นอาบัติปาจิตตีย์

สิ่งที่เกิดขึ้นมา เห็นไหม แล้วถ้าเราชนะเรา นี่ความนิ่งอยู่.. ความนิ่ง รู้ถึงควรไม่ควร รู้ถึงพูดไม่พูด แต่ถ้าเป็นครูบาอาจารย์ท่านต้องพูดตลอดเวลา เพราะอะไร? เพราะเป็นพ่อแม่ครูจารย์ไง พ่อแม่ครูจารย์ เห็นไหม ดูสิอาหารเป็นคำข้าว อาหารเลี้ยงร่างกาย อาหารของใจ นี่อาหารของใจ สิ่งที่เป็นสติ สิ่งที่เป็นปัญญาที่เราพลั้งเผลอ เราไม่ทัน ครูบาอาจารย์ท่านจะคอยบอกเรา คอยบอกเรา คอยเตือนเรา นี่ช็อตเราให้ได้สติ ให้มันพัฒนาการขึ้นมา

ฉะนั้น ความผิด นี่ว่าคนนั้นความผิดมากมายทำไมไม่ติเตียน ความผิดเราเล็กน้อยทำไมถึงคอยติเตียน.. เพราะเล็กน้อยแต่มันจะเป็นประโยชน์กับเราไง เป็นประโยชน์กับผู้ที่จะรับนะ ถ้ามันพัฒนาขึ้นไป คนสมบูรณ์พร้อม เห็นไหม การเคลื่อนไป การเคลื่อนไหว นี่ดูสิครูบาอาจารย์สติท่านพร้อมนะ ดูเวลาท่านเทศนาว่าการ ดูท่านแสดงออก มันดูแล้วมันชื่นใจ เพราะความเคลื่อนไปพร้อมกับสติ พร้อมกับปัญญา พร้อมทุกอย่างเลย

แต่ของเราพลั้งเผลอทุกอย่างเลย พูดธรรมะเหมือนกัน เวลาพูดนี่พูดธรรมะเหมือนกันเลย เห็นไหม แต่เพราะเราแพ้เราไง เราแพ้จากข้างใน ถ้าเราแพ้เรา นี่สังคมคือสภาวธรรม สภาวธรรมไม่ใช่ธรรมนะ สภาวธรรมคือการเกิดดับ ดูสิว่าสภาวธรรม สภาวะที่เกิดปัจจุบัน นี้เขาว่าอันนี้เป็นปรมัตถธรรม

ไม่ใช่! มันเป็นสัจจะความจริง การเกิดดับ ความคิดเกิดดับ สภาวธรรมคือการสลัดทิ้งจากความคิดทั้งหมดแล้ว แล้วตัวพลังงานตัวนั้นมันคงที่ของมัน ทีนี้ตัวพลังงานคงที่ไม่ได้เพราะเป็นอวิชชามันพร่องอยู่ เห็นไหม ทำสมาธิ ทำพุทโธ พุทโธ ปัญญาอบรมสมาธิไป นี่ตัวพลังงานนั้นเต็มเปี่ยมอิ่มเต็ม มันสมบูรณ์ของมัน มันถึงออกวิปัสสนาได้

วิปัสสนาเพราะอะไร? เพราะมันไม่มีความพร่อง ไม่มีความพร่องเพราะกิเลสนั้นมันไม่บวกเข้ามา มันทำสิ่งใด ปัญญามันพิจารณาสิ่งใดไปมันถึงเป็นธรรม แต่ถ้ามันเป็นความพร่องอยู่ กิเลสมันบวกเข้ามา ความคิดเอาไปบวกทั้งกิเลส มันไม่สะอาดบริสุทธิ์ไปได้หรอก มันเป็นไปไม่ได้ พอเป็นไปไม่ได้ เห็นไหม สิ่งนี้สภาวะที่เกิดปัจจุบัน เขาว่าอย่างนั้นนะ

แต่สภาวะความเป็นจริงนะมันพิจารณาของมัน สภาวะนี้มันเป็นการกระทำของจิต มันเป็นอนัตตา มันมีการเปลี่ยนแปลงของมัน สภาวะมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ถึงที่สุดเวลาเป็นอกุปปธรรม มันเป็นธรรมที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง

สิ่งที่เป็นอกุปปธรรมนี่ไม่ใช่เป็นสภาวะ มันเป็นธรรม เห็นไหม ดูสิมันอยู่ในใจของใคร? เขาว่าพระอริยเจ้า นี่เป็นพระโสดาบันแล้วมาเกิดในพุทธศาสนา เกิดได้อย่างไร? ทำไมพระพุทธเจ้ารู้ ขิปปาภิญญามันจะเกิดได้อย่างไร? มันรู้จริงของมันนะ แล้วถ้าเกิดคนเป็นโสดาบันมาเกิดจะรู้ว่าตัวเองเป็นโสดาบันไหม?

นี่ถ้าเป็นปัจจุบันมันดีโดยธรรมชาติของจิต ดูจิตของเราเป็นธรรมชาติของจิต ธรรมชาติของจิตมันดีโดยเนื้อของจิต แต่ในปัจจุบันนี้เรารู้ไหมว่าเป็นโสดาบันหรือไม่เป็นโสดาบัน มันเป็นสัญชาตญาณอันหนึ่ง นี่พันธุกรรมทางจิต พัฒนาการของมันถึงมหาศาลมาก

สังคมจากภายนอกนะ เวลาทำบุญกุศลของเรา เราจะทุกข์จะยาก เรามอง เราเห็นสังคมไหม? เราศึกษาเขา เราศึกษาโดยเอาธรรมนี้เปรียบเทียบไง แล้วนี่ให้มันละเอียดเข้ามาถึงในสังคมของเรา ดูสิความคิดหนึ่ง บุคคลคนหนึ่ง ความคิดเราเป็นแสนๆ ครั้งในแต่ละวัน เรามีเพื่อนพ้องในหัวใจเป็นล้านๆ คนต่อวันเลย แล้วเราบอกว่าเราอยู่ในป่าคนเดียวเราจะไม่มีเพื่อน เราประพฤติปฏิบัติคนเดียวจะไม่มีใครเข้ามายุ่งกับเรา เราจะอยู่ในสังคม

ความคิดเกิดในหัวใจเรา เกิดดับวันหนึ่งกี่ร้อยหน กี่พันหน ถ้าเราพัฒนา เราควบคุมได้ เราคบกับเพื่อน คบกับความคิด บริหารความคิด ทำความคิดให้ดี เห็นไหม นี่กำแพงอันนี้จะไม่ปิดกั้นเรา เราจะเป็นเพื่อนที่ดี เป็นสิ่งที่ดีกับหัวใจของเรา แล้วมันจะวิวัฒนาการของมันจนเป็นสุตมยปัญญา จินตมยปัญญา ภาวนามยปัญญา มันเห็นของมัน มันพัฒนาของมัน นี่ชนะตนเอง

นี่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าลึกซึ้งอย่างนี้ ลึกซึ้งจากสังคมภายนอก จากสังคมในหัวใจ พลังงานกับความคิด แล้วเวลาพลังงานมันสลัดความคิดทิ้งหมดเลย แล้วสลัดทำลายตัวพลังงาน ตัวจิตนั้นอีกทีหนึ่ง ถึงที่สุดแล้วนะวิมุตติสุข

นี่ในพุทธศาสนาเรามีอย่างนี้ เราเป็นชาวพุทธ เรามีเป้าหมาย เป้าหมายว่าเราอยากจะมีความสุข แล้วความสุขของเราไม่ใช่ความสุขแบบอนิจจัง ความสุขแบบความแปรปรวน นี่ความสุขแท้มันมีอยู่กับเรา ของมีอยู่กับเรา หัวใจถึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เราต้องอุปัฏฐาก เราต้องรักษาใจเรา รักษาพุทธะคือรักษาหัวใจของเรา เอวัง